ร้านเรือนแก้ว
ร้านหยุดทุกวันอังคาร
  เกี่ยวกับเรา | แนะนำติชม | Linkที่น่าสนใจ | ปฏิทินวันหยุด | PhotoGallery | เที่ยวนครปฐม
 
พระราชวังสนามจันทร์

                                                       ภาพโดย thaidphoto.com
     สร้างขึ้นเมื่อสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 มีวัตถุประสงค์เพื่อต่อต้านการรุกรานของชาติตะวันตก เมื่อสร้างเสร็จพระราชทานนามว่า พระราชวังสนามจันทร์ ตามชื่อสระน้ำโบราณหน้าโบสถ์พราหมณ์ คือ สระน้ำจันทร์หรือสระบัวในปัจจุบัน
     พระราชวังสนามจันทร์เป็นสถานที่ที่ร่มรื่นมาก ๆ เรียกได้ว่าบรรยากาศดีเลยทีเดียว ตอนเย็น ๆ ก็จะมีผู้คนมาออกกำลังกายมากมาย หากกลัวเมื่อยก็มีจักรยานสำหรับเช่าให้ด้วย พระที่นั่งบริเวณพระราชวังสนามจันทร์ เขาห้ามถ่ายภาพด้านในกัน เดินไปเรื่อยๆ ก็จะมีพระที่นั่งอีกมากมายซึ่งเคยใช้ประกอบพระราชกรณียกิจ เช่น พระที่นั่งพิมานปฐม เคยใช้เป็นศาลากลางจังหวัดนครปฐมมาก่อน พระที่นั่งสามัคีมุขมาตย์ ใช้ฝึกอบรมเสือป่าและแสดงโขนละครต่างๆอีกด้วย พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ ก็เป็นสถาปัตยกรรมผสมระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส เป็นสถานที่ให้ราชทูตต่างประเทศเข้าเฝ้า เป็นต้น นอกจากนั้นก็ยังมี เทวาลัยคเณศร์ เป็นที่ประดิษฐานพระพิฆเนศวร ซึ่งตั้งอยู่บริเวณสนามของหมู่พระที่นั่งทั้งหมด หากได้แวะเวียนมาก็ต้องกราบไหว้ที่แห่งนี้ด้วย เดินเรื่อยไปก็จะเจอศาลาดีไซน์เก๋ เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจ จุดเด่นของพระราชวังสนามจันทร์อีกอย่างหนึ่งคือ อนุสาวรีย์ย่าเหล ซึ่งเป็นสุนัขแสนรู้ของรัชกาลที่ 6 และที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้เลยก็คงเป็น พระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 สร้างขึ้นเพื่อเป็นการสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของรัชกาลที่ 6 ที่ทรงสร้างพระราชวังสนามจันทร์ ทรงก่อตั้งกองเสือป่า และพระราชทานกำเนิดลูกเสือไทย บริเวณรอบพระบรมราชานุสาวรีย์ก็มีดอกไม้สวย ๆรายล้อมอยู่ ระหว่างทางก่อนกลับก็เจอฝูงไก่ นกยูง และห่านด้วย นี่เป็นเพียงข้อมูลเด่น ๆ ซึ่งท่านสามารถเดินทางมาชมได้ตามวิธีที่สะดวก เพราะที่แห่งนี้เป็นความภูมิใจและศรัทธาของชาวนครปฐม อยากให้มาสัมผัสวังสวยด้วยกัน

องค์พระปฐมเจดีย์

                                        ภาพโดย unseentourthailand.com
     องค์พระปฐมเจดีย์ สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยเดียวกับครั้งพระเจ้าอโศกมหาราชยังครองราชย์สมบัติอยู่แน่นอน เพราะลักษณะองค์เจดีย์นั้น เดิมเป็นสถูปกลมรูปทรงคล้ายบาตรคว่ำ (โอคว่ำ) แบบสัญจิเจดีย์ ในประเทศอินเดียที่พระเจ้าอโศกมหาราชสร้างไว้ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ของพระพุทธเจ้า
     จากสถานีรถไฟนครปฐม มองตรงมาจะเห็นองค์พระปฐมเจดีย์ สูงเด่นมาแต่ไกล เดินฝ่าฝูงชนตรงมาเรื่อย ๆจะผ่านย่านตลาดสด มีของซื้อของขายมากมาย ต่อจากนั้นเดินตรงเข้ามาที่องค์พระจะมีประตูใหญ่เปิดต้อนรับผู้คนทั้งใกล้และไกล เดินขึ้นบันไดมา เบื้องหน้าคือพระร่วงโรจนฤทธิ์ ในท่าปางประทานอภัย แม้จะเป็นวันธรรมดาแต่ยังมีผู้คนเข้ามาสักการะเนืองแน่น ต่อจากนั้นดินสำรวจรอบ ๆองค์พระปฐมเจดีย์ สังเกตว่ากำแพงรอบนอกนั้นประกอบไปด้วยพระพุทธรูปประจำวันและประจำปีเกิดรายรอบอยู่ ส่วนวิหารหลวงภายในสวยงามด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนัง กับภาพครุฑ นาค และเทวดา ออกจากวิหารหลวงเดินผ่านกำแพงรอบนอกเข้าไปสัมผัสใกล้ชิดองค์พระปฐมเจดีย์ยิ่งขึ้น แสงส่องทาบพระเจดีย์เป็นสีทองอร่ามงดงาม มองขึ้นไปจะเห็นบันไดที่ทำไว้ให้เพื่อสะดวกในการปีนขึ้นไปซ่อมแซมพระเจดีย์ มีพระพุทธรูปเก่า ๆสวยงามตามแนวทางเดินด้านใน เดินลงบันไดมาพร้อมกับคนอื่น ๆหลังจากเดินสำรวจรอบองค์พระ ไหว้พระกันเรียบร้อยแล้ว เดินมาทางด้านข้างองค์พระ ตอนเย็น ๆมีของกินเพียบทั้งราดหน้า หมี่ผัด นมเย็นปั่นรสอร่อย ขนมครกทำร้อน ๆหลากหลายหน้า ก๋วยเตี๋ยวอร่อย ๆ แถมด้วยไส้กรอกอีสานทอดกรอบ ถ้าชิมทั้งหมดนี่คงจะต้องกลิ้งออกมาจากองค์พระกันเลยทีเดียว ออกจากองค์พระปฐมเจดีย์ เราก็ไปที่ตลาดสด เปิดตั้งแต่เช้าจนเย็น ถ้าแวะมาแถวนี้ต้องมากินข้าวหมูแดงนครปฐม เราหาซื้อของฝากได้ที่นี่ ส้มโอก็หวานขึ้นชื่อ มีข้าวหลามร้อน ๆวางขายเกลื่อน เหมาะแก่การซื้อติดไม้ติดมือนำมาเป็นของฝากเป็นอย่างยิ่ง จะเห็นว่ามีผู้คนมากมายคนแล้วคนเล่าเดินขึ้นลงบันได ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพราะองค์พระปฐมเจดีย์ถือเป็นสิ่งสำคัญและทรงคุณค่าคู่เมืองนี้ตลอดไป


พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย

                                                             ภาพโดย goolive.com
     ถ้าขับรถจากกรุงเทพฯไปบนถนนบรมราชชนนีเข้าสู่ถนนเพชรเกษม ไม่กี่สิบกิโลเมตรก็จะถึงพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทยแล้ว ซึ่งหลายท่านอาจจะเคยพาลูกหลานไปเที่ยวชมมาแล้ว หรืออาจจะเคยขับรถผ่านเฉย ๆ และคงรู้ว่าข้างในมีหุ่นขี้ผึ้งแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่า มีหุ่นของบุคคลสำคัญท่านใดบ้าง
     หากจะเดินเที่ยวข้างนอกก่อนก็มีของขายมากมาย เป็นงานฝีมือ ของเล่นพื้นบ้าน กล้วยไม้ เป็นต้น แล้วก็มีตลาดน้ำด้วย ถัดไปก็เข้ามาเดินชมด้านในกันต่อเลย พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย เกิดจากแรงบันดาลใจของผู้สร้างสรรค์กลุ่มหนึ่งนำโดย อาจารย์ดวงแก้วพิทยากรศิลป์ที่สนใจการสร้างหุ่นขี้ผึ้ง และศึกษาค้นคว้าทดลองเป็นเวลานานกว่า 10 ปี จึงประสบความสำเร็จ สามารถสร้างหุ่นขี้ผึ้งยุคใหม่จากไฟเบอร์กลาสที่มีความคงทน ประณีต เหมือนคนจริงที่สุด โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ประกอบด้วยหุ่นชี้ผึ้งรูปเหมือนบุคคลสำคัญทั้งของไทย และต่างประเทศอย่างครบครัน ปัจจุบันในพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทยมีหุ่นจำลองบุคคลสำคัญทั้งหมด 120 รูป โดยจัดแบ่งเป็นส่วนแสดงรวมทั้งหมด 8 ชุด ได้แก่ ชุดบุคคลธรรมดา เป็นการแสดงถึงวิถีชีวิตไทยในสมัยก่อน ชุดพระอริยสงฆ์ เช่น หลวงปู่ทวด หลวงปู่ศุข ซึ่งปั้นได้เหมือนจริงมาก ชุดจำลองประวัติศาสตร์ไทย รัชกาลที่ 1 - 8 ชุดนิทรรศการ 100 ปี สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ชุดการละเล่นของไทยในสมัยโบราณ ซึ่งเป็นของเล่นที่ไม่เสียตังค์เหมือนของเล่นสมัยนี้ เช่น รีรีข้าวสาร มอญซ่อนผ้า หมากเก็บ หัวล้านชนกัน ฯลฯ ชุดวรรณคดีไทย เช่น สุนทรภู่ พระอภัยมณี ซึ่งดูคนอื่น ๆจะชอบถ่ายรูปตรงนี้กันพอสมควร ชุดสมเด็จพระปิยมหาราช แสดงเหตุการณ์ค้าทาสและการประกาศเลิกทาส นี่ถ้ายังไม่เลิกทาสก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เราจะเป็นทาสหรือไพร่อยู่ที่ไหนนะเนี่ย และชุดสุดท้าย เป็นชุดบุคคลสำคัญของไทย ท่าน คือ 1.พรานบูรพ์ 2.ครูเอื้อ สุนทรสนาน 3 .ครูไพบูลย์ บุตรขัน บุคคลสำคัญของโลก คือ 1.ประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอล์น 2.มหาตมะ คานธี 3.วินสตัน เชอร์ชิล เดินชมไปเรื่อย ๆ ก็รู้สึกว่ามันเหมือนมากทีเดียว
     พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย เปิดให้บริการทุกวัน ไม่มีวันหยุด โดยสามารถเข้ามาเที่ยวชมกันได้ นอกจากจะได้รับความรู้จากการชมหุ่นจำลองในพิพิธภัณฑ์ประกอบคำบรรยายแล้ว รอบๆ พิพิธภัณฑ์ยังมีสวนหย่อมริมสระน้ำไว้ให้นั่งพักผ่อนพร้อมอาหารเครื่องดื่มบริการตลอดวัน รวมไปถึงของที่ระลึก และหนังสือเกี่ยวกับประวัติของหุ่นจำลองในพิพิธภัณฑ์อีกด้วย


ตลาดนครชัยศรี

                                                                                     ภาพโดย b613.exteen.com

    เป็นตลาดนครชัยศรี หรือตลาดท่านา เป็นอาคารเก่าสร้างด้วยไม้ เป็นการอนุรักษ์รูปแบบเดิมเอาไว้ ยังคงกลิ่นอายแบบดั้งเดิมเหมือนเมื่อ 70 ปีที่แล้ว เป็นตลาดโบราณย่านชุมชนริมน้ำ เปิดค้าขายมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 และอยู่ในความดูแลของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
    ตลาดท่านามีร้านค้าต่าง ๆหลากหลายระดับ ตั้งแต่ร้านค้าในตัวอาคารบ้านเรือนโบราณ ร้านอาหารบนแพริมน้ำ ไปจนถึงรถเข็นที่เรียงรายเทียบเคียงถนนเข้าสู่ตลาด ร้านแรกคือน้ำพริกแม่เล็ก เลยแวะชิมน้ำพริกของป้าแก อืม อร่อยดีแหะ ที่สำคัญ หม้อต้มหน่อไม้เดือด ๆ ยั่วน้ำลายยิ่งนัก ร้านต่อไปเป็นร้านอาหารสีฟ้า วางส้มโอเรียงรายกันเพียบ ต่อไปอีกนิดก็ถึง ร้านติ๊กโภชนา ร้านอาหารเลื่องชื่อจากนักชิมทั่วสารทิศ อาหารก็รสชาติอร่อยไม่ทำให้ผิดหวัง เมนูแรกที่จะแนะนำคือ หอยจ๊อปู ซึ่งเค้าทำกันเอง ตัวหอยจ๊อนั้นอัดแน่นไปด้วยเนื้อปู แล้วนำมาหั่นเป็นชิ้น ทอดให้เรากินกับน้ำจิ้มหวาน ๆ รสชาติกลมกล่อมมาก ต่อไปเป็น ต้มยำกุ้ง ของร้านนี้มีชื่อเสียงมาก ซึ่งเค้าใช้กุ้งก้ามกราม ซดน้ำต้มยำแล้วขอบอกว่าถึงต่อมจริง ๆ ได้กลิ่นพริกขี้หนูสด ๆ หอมจริง ๆ จะให้ดีต้องสั่งไข่เจียวกุ้งสับมากินควบคู่ไปด้วย ส่วนปลาแดดเดียวของเค้านั้นก็แสนจะอร่อยมาก ทอดมากรอบนอกนุ่มใน และเหลืองอร่าม ชวนกินมาก ๆ น้ำจิ้มก็มะม่วงซอยหอมซอยและพริกขี้หนูซอย มันช่างครบเครื่องเสียจริง ต่อจากนั้นก็หาอะไรเผ็ด ๆ มากินบ้าง เช่น ลูกชิ้นปลาผัดฉ่า และอย่าลืม กุ้งทอดกระเทียมอร่อยเหลือเกิน เพราะว่าเค้าใช้กุ้งนามาทำ ทอดได้พอดี เวลากินเนื้อกุ้งมันจะเด้ง ๆ อยู่ในปากของเรา นั่งกินไปก็ไม่อยากลุกเลย หลังจากกินราบคาบหมดทั้งโต๊ะแล้ว ก็เดินไปชมร้านที่เยื้อง ๆ กับร้านติ๊กโภชนา จะเป็นร้านหน่อย เบเกอรี่ ต้องไม่พลาดชิมขนมอร่อยอย่าง มาม่อนจัง เป็นสูตรเฉพาะของที่ร้าน ที่มีหลากหลายรสให้เลือกกันตามใจชอบเลย และปิดท้ายด้วยร้านคุณป้อม ขนมปังเย็น หน้าตาน่ากิน ตกแต่งหน้าตายั่วยวนใจยิ่งนัก


                                           ภาพโดย raisara10.exteen.com
     อิ่มท้องแล้วก็เลือกของถูกใจกลับบ้าน จะเป็นส้มโอหวาน ผลไม้ขึ้นในคำขวัญ จ.นครปฐม หรืออาจหาซื้อน้ำตาลปึกโชยกลิ่นหวานหอมกลับไปปรุงอาหารรับรองเด็ดกว่าน้ำตาลทรายขาวที่คุ้นเคย บางคนติดใจของเล่นโบราณที่ทำจากสังกะสี ดีบุก สีสันสวยงาม ก็หาซื้อได้ที่นี่ ของเก่าของโบราณมีขายหลายร้าน หลังจากเพลิดเพลินจากการเดินตลาดแล้วก็แวะไปนั่งพักให้อาหารปลากันที่ริมแม่น้ำนครชัยศรีดีกว่า นั่งรับลมธรรมชาติสบาย ๆ ไปพร้อมกับการให้อาหารปลาก็เพลินไปอีกแบบ แถมปิดท้ายด้วยการถ่ายรูปที่มีฉากหลังเป็นสะพานรถไฟ สะพานรวมเมฆ ในแสงสวย ๆ ยามเย็น รับรองว่าหากใครได้มาเยือนแล้วเป็นต้องติดใจ อยากกลับมาอีกครั้งเป็นแน่

วัดไร่ขิง

                                                       ภาพโดย trekkingthai.com

     วัดไร่ขิง หรือ วัดมงคลจินดาราม ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำท่าจีนหรือแม่น้ำนครชัยศรี ในท้องที่เขตตำบลไร่ขิง อำเภอสามพราน ห่างจากกรุงเทพฯประมาณ 35 กม. เท่านั้นเอง ปัจจุบันเข้า-ออกได้หลายทาง ทั้งจากทางด้าน ถนนเพชรเกษม และถนน ปิ่นเกล้านครชัยศรี( เข้าทางพุทธมณฑลสาย 5 หรือสาย7 ก็ได้)
     พระอุโบสถเป็นศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีหลวงพ่อวัดไร่ขิงเป็นพระประทานอยู่ที่วัดแห่งนี้ หลวงพ่อวัดไร่ขิง เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย สันนิษฐานว่าเป็นฝีมือช่างสมัยไทยล้านนา ตามตำนาน เล่าว่าลอยน้ำมา และอัญเชิญขึ้นไว้ที่วัดไร่ขิงแห่งนี้ เป็นวัดที่พุทธศาสนิกชนรู้จักกันดี นิยมเดินทางไปนมัสการหลวงพ่อวัดไร่ขิงกันอยู่เสมอ
     ด้านหน้าโบสถ์จะหันหน้าลงสู่แม่น้ำ แต่ปัจจุบันการเดินทางมาวัด นิยมมากันทางรถยนต์ ทำให้ด้านนี้กลับกลายเป็นด้านหลังไป มองไปทางซ้ายมือ จะเป็นหอไตรและหอระฆัง รวมถึงเป็นที่ตั้งของโรงเรียนวัดไร่ขิง ยักษ์ก็มีให้ได้ชมกัน เดินออกมาที่หน้าวัด ตรงแม่น้ำมีเขตอภัยทานให้ ซื้อขนมปังเลี้ยงปลา และอาหารนกสำหรับนกพิราบด้วย ได้มาไหว้พระอิ่มบุญไปตาม ๆกัน
     ทุกวันอาทิตย์จะมีตลาดนัดอาหารและผลไม้จำหน่ายหน้าวัด และที่บริเวณริมแม่น้ำหน้าโบสถ์จะมีชาวสวนพายเรือนำผลไม้มาขาย และบริเวณริมแม่น้ำหน้าโบสถ์นี้เป็นเขตอภัยทาน ร่มรื่น มีปลาสวายตัวโตนับพันอาศัยอยู่ นักท่องเที่ยวสามารถซื้อขนมปังเลี้ยงปลาได้ และยังมีก๋วยเตี๋ยวเรือ (หมู) รสเลิศขายทุกวัน นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์ของเก่า รวบรวมของเก่าเช่นถ้วยชาม หนังสือเก่า ซึ่งชาวบ้านนำมาถวายวัดจัดแสดงไว้ ในระหว่างวันขึ้น 13 ค่ำ ถึงแรม 3 ค่ำเดือน 5 ของทุกปี ทางวัดไร่ขิงจะจัดงานนมัสการหลวงพ่อวัดไร่ขิงขึ้น มีการออกร้านและมหรสพมากมาย



ตลาดดอนหวาย

                                                  ภาพโดย palungdham.com
     ตลาดดอนหวาย เป็นตลาดเก่าแก่ในสมัยรัชกาลที่ 6 มีอายุเก่าแก่กว่า 60 ปี ตลาดมีลักษณะเป็นอาคารไม้เก่า ๆ อยู่ติดริมแม่น้ำท่าจีน มีพ่อค้า แม่ค้า พายเรือนำสินค้า และอาหารมาจำหน่ายในบริเวณวัดดอนหวาย มีตลาดนัดสินค้าทางการเกษตร และมีเรือบริการนำเที่ยวชมทิวทัศน์ของสองฝั่งแม่น้ำท่าจีน ระหว่างทางจะเห็นนก และมีปลาว่ายตามเรือ บรรยากาศร่มรื่น เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจ ซึ่งใช้ระยะเวลาเพียง 40 นาทีจากกรุงเทพฯเท่านั้น
     ภายในตลาดดอนหวายเต็มไปด้วยของกินนานาชนิดที่ไม่ควรพลาดชิม ได้แก่ เป็ดพะโล้ร้านของนายหนับเป็นร้านเก่าแก่ขายมาเป็นรุ่นที่สองแล้ว เคล็ดลับความอร่อยอยู่ที่การเลือกเป็ดอายุประมาณ 4 เดือน เนื้อจะนุ่ม น้ำพะโล้ต้องหอมเครื่องเทศ (น้ำลายไหลแล้วล่ะสิ) ห่อหมกปลาช่อนแม่ประทิน ที่อร่อยถึงเครื่องถึงกะทิ มีทั้งรองกระทงด้วยใบยอ หรือใบโหระพาให้ได้เลือกกันตามใจชอบ ขนมจีนน้ำยากะทิ น้ำยาป่า ขนมตาลป้าไข่ รสชาติหอมอร่อย มีขนมไทยๆนานาชนิดที่รับประกันความอร่อยเกือบทุกร้าน ชนิดทานกันไม่หวัดไม่ไหว เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ทองเอก วุ้นกะทิ ขนมลืมกลืน ลอดช่อง ฯลฯ มีผลไม้ในจังหวัดที่มีมากคือ ส้มโอพันธุ์ทองดี ขาวหอม ขาวใหญ่ และผลไม้อื่น ๆ อย่างกระท้อน แก้วมังกร มังคุด ส้ม ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีอาหารอร่อย ๆ ให้เลือกซื้อเลือกหากันตลอดเส้นทางอีกด้วย
     พวกของฝากที่จะซื้อกลับบ้านก็มากมาย เช่น ปลาแดดเดียว ปลาแห้ง ปลาย่างชนิดต่าง ๆ มะพร้าวน้ำหอมก็ขึ้นชื่อและหอมจริง ๆ ส้มโอนครชัยศรีก็อร่อยคุ้นลิ้นมานาน แถมราคาถูกอีกต่างหาก พูดง่าย ๆ ว่าหากมาเที่ยวที่นี่ก็เตรียมเคลียร์ท้ายรถให้ว่างไว้ก่อน ขากลับอาจเต็มได้
     จะเห็นว่าตลาดดอนหวายแห่งนี้มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย แถมยังอยู่ใกล้ ๆ กันกับวัดไร่ขิงอีกด้วย กิน เที่ยว แล้วก็แวะทำบุญทำทานเพื่อเป็นสิริมงคลก่อนกลับบ้าน วันหยุดสุดสัปดาห์นี้ หากยังไม่มีโปรแกรมไปไหน ตลาดดอนหวาย ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจทีเดียว

พุทธมณฑล

                                              ภาพโดย nairobroo.com
     พุทธมณฑล สร้างอยู่บนพื้นที่ 2,500 ไร่ มีคูน้ำขนาดใหญ่ขุดไว้โดยรอบ วัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางการศึกษาอบรมพระพุทธศาสนา และเป็นสวนเพื่อการพักผ่อน หากมีโอกาสผ่านมาบริเวณ ถ.พุทธมณฑลสาย4 จะเห็นพระศรีศากยทศพลญาณ เด่นเป็นสง่ามาแต่ไกล ทำให้ต้องแวะเวียนเข้ามาชมกันเสียหน่อย ระหว่างทางที่เข้ามา สะดุดตากับอะไรนิดหน่อย ลองแวะดูแป๊บนึง เจอน้องเต่า มานอนอาบแดดกันนั่นเอง เดินเข้าไปใกล้ ๆ กระโดดลงน้ำหนีหมดเลย ที่นี่มีคนมาถ่ายรูปกันเยอะเหมือนกัน เพราะมีสวนต้นไม้ดอกไม้จัดไว้หลายที่เลยทีเดียว
     สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อมาถึงที่นี่ คือ การไหว้ขอพรจาก พระศรีศากยทศพลญาณ ซึ่งเป็นพระประธานของพุทธมณฑล เป็นพระพุทธรูปปางลีลาที่มีความงดงามแบบสมัยสุโขทัย องค์พระสูง 2,500 กระเบียด หล่อด้วยโลหะรมดำ
     ถัดไปก็ไปชม สังเวชนียสถาน ซึ่งรายล้อมองค์พระประทาน มีทั้งหมด 4 ตำบล ได้แก่ ตำบลประสูติ แกะสลักหินเป็นบัวเจ็ดดอก ตามพุทธประวัติ เกิดดอกบัวเจ็ดดอกมารองพระบาทมิให้ติดดิน อันหมายถึงพระพุทธองค์ประกาศศาสนาไปในเจ็ดแคว้น ตำบลตรัสรู้ มีการแกะสลักหินเป็นแท่นโพธิบัลลังก์ หมายถึงพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้บรรลุถึงอริยสัจ 4 เมื่อประทับอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ริมแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลปฐมเทศนา แกะสลักหินเป็นรูปธรรมจักร หลังจากที่ทรงตรัสรู้แล้ว 2 เดือน จึงแสดงธรรมแก่ปัญจวคีย์ทั้ง 5 เรื่องธัมมจักกัปปวัตนสูตรเป็นครั้งแรก ในวันอาสาฬหบูชา และตำบลปรินิพพาน เมื่อพระองค์ทรงทราบว่าจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว ได้ทอดกายลงนอนในท่าสีหไสยาสน์ใต้ต้นสาละ บริเวณนี้จึงมีแท่นไสยาสน์หินแกะสลักใต้ต้นสาละเป็นสัญลักษณ์
     ส่วนบริเวณด้านหลังองค์พระประธานยังเป็นที่ตั้งของ มหาวิหารประดิษฐานพระไตรปิฎกหินอ่อน ที่ผนังภายในอาคารประดิษฐานจารึกพระไตรปิฎก ทำจากหินอ่อนขนาด 1.1 x 2 เมตร จำนวน 1,418 แผ่น ด้านบนมีภาพพุทธประวัติวิจิตรงดงามน่าชม
     และสถานที่สุดท้ายที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนพุทธมณฑลนั่นคือ "ถ. อุทยาน หรือ ถ. อักษะ" เป็นเส้นทางเชื่อมระหว่างถนนพุทธมณฑลสาย 3 และสาย 4 ตรงไปสู่พุทธมณฑล ได้รับการยกย่องว่าเป็นถนนที่ตกแต่งได้สวยงามที่สุด มีไม้ดอกไม้ประดับและต้นไม้ใหญ่ตลอดสองข้างทางริมถนนติดตั้งเสาไฟเป็นรูปหงส์ เป็นถนนที่ล้อมรอบไปด้วยสวน ทุ่งนา และร้านอาหาร เหมาะเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของนักท่องเที่ยว วันหยุดสุดสัปดาห์ ลองไปเที่ยวพักผ่อนกันที่พุทธมณฑลดูสักครั้ง รับรองว่า ไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
www.nairobroo.com
www.moopeak.com
www.pantip.com
www.bloggang.com
www.mcdang.com
www.exteen.com
www.nctv.co.th